topic

 

phase

phase

 

ระยะที่ 1 : โรคอยู่ในต่อมน้ำเหลืองต่อมเดียว หรือหลายต่อม แต่อยู่ในกลุ่มบริเวณเดียวกัน เช่น เฉพาะที่คอ หรือรักแร้

ระยะที่ 2 : โรคเป็นมากกว่าหนึ่งต่อม หรือหนึ่งกลุ่ม แต่ยังอยู่ข้างเดียวกันของกะบังลม คือ เหนือกะบังลมเหมือนกันหรือใต้กะบังลมเหมือนกัน เป็นต้น

ระยะที่ 3 : พบโรคทั้งเหนือและใต้กะบังลม เช่น มีโรคที่รักแร้ และ ขาหนีบ

ระยะที่ 4 : โรคกระจายออกนอกระะบบน้ำเหลือง เช่น มีโรคที่ผิวหนัง ตับ ม้าม ปอด กระดูก

 

symtom

ระยะที่ 1 : ผู้ป่วยมักจะมีอาการต่อมน้ำเหลืองบวม คลำได้ก้อนบริเวณนั้น ๆ โดยอาจไม่รู้สึกเจ็บหรือเป็นก้อนที่กดแล้วเจ็บก็ได้ ร่วมกับมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

ระยะที่ 2 : หากเกิดในส่วนของช่องท้องจะมีอาการแน่นท้อง กินอาหารได้น้อย เบื่ออาหาร กินไปนิดเดียวก็อิ่ม อาหารไม่ย่อย ท้องโตขึ้นจากการมีน้ำในช่องท้อง รวมไปถึงอาการปวดหลังเนื่องจากต่อมน้ำเหลืองหลังช่องท้องโต หรือบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนบ่อย ๆ ร่วมด้วย ทั้งนี้หากเซลล์มะเร็งไม่ได้อยู่ในช่องท้อง แต่ไปเกิดในบริเวณทรวงอก ผู้ป่วยจะมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก มีอาการปวดบวมที่แขนข้างซ้าย หรือมีอาการเลือดคั่งจนผิวบริเวณคอ แขน หน้าอก เป็นจ้ำแดง เนื่องจากเซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะส่งผลให้เลือดในบริเวณนั้น ๆ ไหลย้อนกลับ ทำให้ระบบไหลเวียนของเลือดเสียสมดุลไป และอาจก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะเรื้อรังได้ด้วย

ระยะที่ 3 : ผู้ป่วยจะมีอาการบวมจากก้อนมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ใต้รักแร้หรือที่ขาหนีบ โดยก้อนนั้นอาจกดเจ็บหรือไม่เจ็บก็ได้ แต่ส่วนมากผู้ป่วยจะมีอาการไข้ ซีด อ่อนเพลียร่วมด้วย

ระยะที่ 4 : อาการของผู้ป่วยจะค่อนข้างมีความรุนแรง เนื่องจากเซลล์มะเร็งได้แพร่กระจายออกนอกระบบน้ำเหลือง เช่น ลุกลามมาที่ไขกระดูก หรือเนื้อเยื่ออวัยวะอื่น ๆ เช่น  ผิวหนัง กระเพาะอาหาร ตับ ปอด สมอง และกระดูก ซึ่งหากเซลล์มะเร็งไปลุกลามที่จุดไหน ก็เหมือนจะมีอาการอักเสบเกิดขึ้น ณ จุดนั้น โดยหากลุกลามที่สมอง อาจมีความผิดปกติทางด้านความคิด มีอาการแขน-ขาอ่อนแรง ชัก บุคลิกภาพเปลี่ยนไป ปวดหัวเรื้อรัง ความจำเสื่อม หรือหากต่อมน้ำเหลืองโตจนกดเบียดหลอดเลือด เส้นประสาท ก็อาจนำมาสู่อาการชาเรื้อรังตามแขนและขาร่วมด้วย

 

โดยเราสามารถตรวจมะเร็งต่อมน้ำเหลืองด้วยตัวเองเบื้องต้นได้ที่ คลิกที่นี่