ระยะที่ 0 (ระยะเริ่มแรกก่อนเป็นมะเร็ง) ในระยะนี้หากทำการรักษาอย่างถูกต้องจะได้ผลดีเกือบ 100% ดังนั้นการตรวจคัดกรองเพื่อหามะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรกจึงมีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งการรักษาจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
- การทำลายเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูก ได้แก่ การใช้ความเย็นจัดจี้ทำลาย (Cryosurgery), การใช้เลเซอร์จี้ทำลาย, การตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า (LEEP) และการผ่าตัดปากมดลูก (Conization) หลังจากทำการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวตามความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละรายแล้ว ผู้ป่วยจะยังต้องทำการตรวจติดตามอย่างต่อเนื่องด้วยการตรวจร่างกาย ตรวจแปปสเมียร์ และอาจต้องตรวจโดยใช้กล้องส่องตรวจปากมดลูก (Colposcopy) ทุก ๆ 3-6 เดือนหรือตามที่แพทย์นัดตรวจ (มักใช้รักษาเมื่อผู้ป่วยยังต้องการมีบุตรอยู่)
- การตัดมดลูกเพื่อเอามดลูกและปากมดลูกออกทั้งหมด ซึ่งมักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีลูกเพียงพอแล้ว, ผู้ป่วยมีอายุมากหรืออยู่ในช่วงวัยหมดประจำเดือนแล้ว, ผู้ป่วยไม่สามารถติดตามผลการรักษาแบบการทำลายเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูกในระยะยาวได้ และผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพอย่างอื่นที่จะต้องทำการผ่าตัด เช่น เป็นเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก
- หากไม่สามารถทำการรักษาด้วยวิธีดังที่กล่าวมาข้างต้น แพทย์อาจพิจารณาทำการรักษาโดยใช้รังสีรักษา (Radiation therapy)
ระยะที่ 1 ในระยะนี้หากทำการรักษาอย่างถูกต้องจะมีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปี สูงถึง 80-90% ซึ่งการรักษาจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
- การผ่าตัด ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ การผ่าตัดมดลูก โดยอาจผ่าตัดรังไข่และท่อนำไข่ทั้งสองข้างด้วย และการผ่าตัดมดลูกแบบถอนรากร่วมกับการตัดต่อมน้ำเหลืองในอุ้งเชิงกราน (หากผลการตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยาจากการผ่าตัดทั้งสองแบบพบว่า เนื้อเยื่อมะเร็งมีความรุนแรงสูง ส่งผลให้มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำของโรคได้สูง ผู้ป่วยอาจต้องได้รับการรักษาต่อเนื่องด้วยการให้รังสีรักษาเพิ่มเติม)
- การรักษาด้วยการให้รังสีรังรักษา ซึ่งอาจต้องทำทั้งฉายรังสีร่วมกับการใส่แร่ หรืออาจจะใส่แร่เพียงอย่างเดียว โดยขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย
- การรักษาด้วยการให้รังสีรักษาร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด
ระยะที่ 2 ในระยะนี้หากทำการรักษาอย่างถูกต้องจะมีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปี ประมาณ 60-70% ซึ่งการรักษาจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มเช่นกัน ดังนี้
- การผ่าตัดมดลูกแบบถอนรากร่วมกับการตัดต่อมน้ำเหลืองในอุ้งเชิงกราน (หากผลตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยาจากการผ่าตัดออกมาพบว่า มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำของโรคได้สูง ผู้ป่วยอาจต้องได้รับการรักษาต่อเนื่องด้วยการให้รังสีรักษาเพิ่มเติม)
- การรักษาด้วยการให้รังสีรักษา ซึ่งจะต้องให้ทั้งฉายรังสีร่วมกับการใส่แร่
- การรักษาด้วยการให้รังสีรักษาร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด
ระยะที่ 3 ในระยะนี้หากทำการรักษาอย่างถูกต้องจะมีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปี ประมาณ 40-50% โดยจะเป็นการรักษาด้วยการให้รังสีรักษาร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถให้เคมีบำบัดได้ แพทย์อาจให้การรักษาด้วยรังสีรักษาเพียงอย่างเดียว ซึ่งการให้รังสีรักษานี้จะต้องให้ทั้งฉายรังสี ร่วมกับการใส่แร่
ระยะที่ 4 ในระยะนี้หากทำการรักษาอย่างถูกต้องจะมีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปี ประมาณ 0-20% ซึ่งการรักษาจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
- การรักษาด้วยการให้รังสีรักษาร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด ซึ่งการให้รังสีรักษานี้จะต้องให้ทั้งฉายรังสี ร่วมกับการใส่แร่ โดยมักจะให้การรักษาในผู้ป่วยที่มะเร็งกระจายไปยังอวัยวะข้างเคียง คือ กระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้ใหญ่แล้ว และผู้ป่วยจะต้องมีสภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงเท่านั้น
- การรักษาด้วยการให้รังสีรักษา เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วย และเพื่อช่วยลดอาการที่เกิดจากมะเร็ง เช่น มีอาการปวด มีเลือดออก
- การรักษาด้วยการให้เคมีบำบัดเพื่อบรรเทาอาการต่าง ๆ
- การรักษาแบบประคับประคองไปตามอาการ ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถให้การรักษาด้วยวิธีการรักษามะเร็ง เช่น การผ่าตัด รังสีรักษา และยาเคมีบำบัดได้ ซึ่งจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของยาเคมีบำบัด อายุ และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย
|